
“คือ คุณสมบัติของผู้ที่มีความรู้ เพราะได้ศึกษาภาคทฤษฎีมามาก ซึ่งเป็นหนึ่งในสามขั้นตอนของเหตุแห่งการสร้างภูมิปัญญา
๑. พหุสสุตา คือ ได้ศึกษาเล่าเรียน สดับฟังหรืออ่านหนังสือมามาก
๒. ธตา ทรงจำได้ คือ สามารถทรงจำหลัก สาระของเนื้อความเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ
๓. วจสา ปริจิตา คือ ท่องบ่นหรือพูดหรืออ่านเขียนซ้ำๆ อยู่เสมอจนคล่องแคล่วชัดเจน
๔. มนสานุเปกขิตา เพ่งขึ้นใจ คือ ใส่ใจนึกคิด ทบทวนอย่างสม่ำเสมอจนเจนใจ นึกถึงครั้งใดก็ปรากฏเนื้อ
ความกระจ่างชัดท
๕. ทิฏฐิยา สุปฏิวิทธา ขบได้ด้วยทฤษฎีหรือแทงตลอดด้วยทิฏฐิ (ความเห็น) คือ มีความเข้าใจลึกซึ้งจน
สามารถประยุกต์ให้เข
เป็นเพียงแนวทางหนึ่งในสามแนว
จินตามยปัญญา สุตมยปัญญา และภาวนามยปัญญา
๑. จินตามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณา โดยอาศัยข้อมูลสมมติฐานของตัวเองเป็นหลัก เช่น บุญคือ ใส่บาตรพระ
๒. สุตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียนตามหลักพ
๓. ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติ และฝึกฝนอบรมจนประจักษ์ชัดเป็นประสบการณ์จริง โดยไม่ต้องจินตนาการหรืออาศัยคำบอกเล่าจาก
ที่มา : พระไตรปิฎก เล่ม ๒๒ ข้อ ๘๗
รัตนาวลี ลิปิกร
๒. ธตา ทรงจำได้ คือ สามารถทรงจำหลัก สาระของเนื้อความเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ
๓. วจสา ปริจิตา คือ ท่องบ่นหรือพูดหรืออ่านเขียนซ้ำๆ อยู่เสมอจนคล่องแคล่วชัดเจน
๔. มนสานุเปกขิตา เพ่งขึ้นใจ คือ ใส่ใจนึกคิด ทบทวนอย่างสม่ำเสมอจนเจนใจ นึกถึงครั้งใดก็ปรากฏเนื้อ
ความกระจ่างชัดท
๕. ทิฏฐิยา สุปฏิวิทธา ขบได้ด้วยทฤษฎีหรือแทงตลอดด้วยทิฏฐิ (ความเห็น) คือ มีความเข้าใจลึกซึ้งจน
สามารถประยุกต์ให้เข
เป็นเพียงแนวทางหนึ่งในสามแนว
จินตามยปัญญา สุตมยปัญญา และภาวนามยปัญญา
๑. จินตามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณา โดยอาศัยข้อมูลสมมติฐานของตัวเองเป็นหลัก เช่น บุญคือ ใส่บาตรพระ
๒. สุตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียนตามหลักพ
๓. ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติ และฝึกฝนอบรมจนประจักษ์ชัดเป็นประสบการณ์จริง โดยไม่ต้องจินตนาการหรืออาศัยคำบอกเล่าจาก
ที่มา : พระไตรปิฎก เล่ม ๒๒ ข้อ ๘๗
รัตนาวลี ลิปิกร
 
 บทความ
บทความ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
